โควิด-19 : ความคืบหน้าของวัคซีนที่ไทยสั่งซื้อจากแอสตร้าเซเนก้า - BBC News ไทย
- ️https://www.facebook.com/bbcnews
- ️Sat Nov 28 2020
ที่มาของภาพ, Reuters
28 พฤศจิกายน 2020
ปรับปรุงแล้ว 11 กุมภาพันธ์ 2021
รัฐบาลไทยลงนามในสัญญาจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้าจากบริษัทแอสตร้าเซเนก้า (AstraZeneca) บริษัทผลิตวัคซีนสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เมื่อ 27 พ.ย. 2563 จำนวน 26 ล้านโดส โดยมีบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธยรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนดังกล่าวที่รัฐบาลคาดว่าคนไทยจะมีวัคซีนโควิด-19 ใช้ในปี 2564
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากบริษัทแอสตราเซเนกานี้ เป็นวัคซีนชนิดเดียวกันกับที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังขอให้สำนักงานควบคุมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency หรือ MHRA) ประเมินว่าได้มาตรฐานเพียงพอที่จะได้รับอนุญาตให้นำไปใช้ได้หรือไม่ การประเมินของ MHRA มีขึ้นหลังจากการทดลองพบว่าวัคซีนนี้มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 สูง
สหราชอาณาจักรได้รับวัคซีนล็อตแรกสิ้นปีนี้
รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้สั่งจองวัคซีนชนิดนี้แล้วจำนวน 100 ล้านโดส และหากผ่านการรับรองจากสำนักงานควบคุมยาฯ สหราชอาณาจักรจะเป็นชาติแรก ๆ ที่บริษัทแอสตร้าเซเนก้าจะจัดส่งวัคซีนให้ โดยส่ง 4 ล้านโดสแรกให้ภายในสิ้นปี 2563 และอีก 40 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2564
แอสตร้าเซเนก้าปรับแก้ผลการวิจัย
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. บริษัทแอสตร้าเซเนก้าประกาศว่าได้ปรับแก้ผลการศึกษาวิจัยในสหรัฐฯ หลังจากพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าวัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 ดีที่สุดเมื่อมีการฉีดให้ผู้เข้าร่วมการทดลองโดยเริ่มจากปริมาณเพียงครึ่งโดสก่อน แล้วตามด้วยวัคซีนอีก 1โดสเต็ม แทนที่จะเป็นการฉีดวัคซีนเต็มจำนวน 2 โดส
ที่มาของภาพ, CDC / SMITH COLLECTION / GADO
แอสตร้าเซเนก้า ออกมาระบุดังกล่าวหลังจากสื่อทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยและประสิทธิผลที่แท้จริงของวัคซีนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดร่วมคิดค้นนี้
โดยข้อมูลจากการทดลองแสดงประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 แบ่งเป็นสามระดับ ได้แก่ ประสิทธิผลโดยรวม 70% ประสิทธิผลในระดับต่ำคือ 62% และประสิทธิผลในระดับสูง 90% ซึ่งบริษัทแอสตร้าเซเนก้า ระบุว่ากำลังมีความมั่นใจมากขึ้นว่าการให้วัคซีนในปริมาณครึ่งโดสก่อนจะตามด้วย 1 โดสเต็มแก่อาสาสมัครนั้น ให้ประสิทธิผลในระดับสูงจริง โดยขณะนี้มีข้อมูลพร้อมที่จะนำเสนอต่อทางการเพื่อให้อนุมัติการใช้วัคซีนดังกล่าวได้
ศ.เฮเลน เฟลทเชอร์ แห่งสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ในช่วงเริ่มต้นการทดลองทางคลินิกจะยังคงมีสิ่งที่เป็นประเด็นให้บริษัทผู้ผลิตยาต้องจัดการให้เกิดความชัดเจน แต่ผลการทดลองในเบื้องต้นล้วนเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยและข้อมูลที่ได้ก็มีน้ำหนักพอ อย่างไรก็ดี ยังจำเป็นที่จะต้องรอรายงานฉบับเต็มที่จะมีการเผยแพร่ออกมาก่อน
วัคซีนของแอสตร้าเซเนก้าทำงานอย่างไร
ผู้สื่อข่าวสาธารณสุขของบีบีซีรายงานว่าโครงการพัฒนาวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้าเป็นการทำร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด วัคซีนนี้ทำมาจากไวรัสไข้หวัดทั่วไป (หรือที่รู้จักกันในชื่อ อะดีโนไวรัส - adenovirus) ที่อ่อนแอ โดยได้นำเชื้อนี้มาจากลิงชิมแปนซีไปดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อที่เชื้อไวรัสนี้จะไม่สามารถขยายตัวในมนุษย์ได้
จากนั้นจะนำยีนที่ได้มาจากปุ่มโปรตีนของเชื้อไวรัสโคโรนาไปใส่ในไวรัสไข้หวัดที่อ่อนแอและไม่เป็นอันตรายต่อคนดังกล่าว
วัคซีนที่ได้จะถูกนำไปฉีดให้กับคนไข้ เซลล์ในร่างกายมนุษย์จะสร้างปุ่มโปรตีนไวรัสโคโรนาขึ้น เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดี หรือภูมิคุ้มกันขึ้น และกระตุ้นให้ที-เซลล์ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ เมื่อคนไข้ได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาเข้าสู่ร่างกายจริง ๆ ภูมิคุ้มกันและทีเซลล์ก็จะถูกกระตุ้นให้ต่อสู้กับเชื้อไวรัส
มีอาสาสมัครมากกว่า 20,000 คนเข้าร่วมการทดลองวัคซีนขั้นที่ 3 ของอ็อกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซเนก้า ครึ่งหนึ่งอยู่ในสหราชอาณาจักร และที่เหลืออยู่ในบราซิล โดยมีการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้รับวัคซีน 1 โดส หรือ 2 โดส หรือ วัคซีนหลอก จากนั้นจะมีการประเมินผลการตอบสนองในวันที่อาสาสมัครเหล่านี้รับวัคซีน และจะติดตามผลในอีก 1 สัปดาห์, 2 สัปดาห์ และ 4 สัปดาห์ หลังการรับวัคซีนทั้ง 2 โดส